Try To Remember

Posted in Music | Leave a comment

กลัว

 
ความกลัว มีอิทธิพลเหนือมนุษย์เกือบทุกคน
บางคนกลัวความสูง..บางคนกลัวความมืด
บางคนกลัวการอยู่คนเดียว…บางคนกลัวภัยธรรมชาติ
และอีกสารพัดอย่างที่ฉันอาจจะไม่ได้พูดถึง
แต่จะมีกี่คนที่หลีกหนีความกลัวเหล่านี้ไปได้ตลอดชีวิต
บางทีเราอาจจะต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากลัวก็เป็นได้
……………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………….
 
ฉันเองก็มีความกลัวมากมายอยู่ในใจ
สมัยเด็ก ๆ ก็กลัวว่าพ่อแม่จะไม่รัก
ส่วนตอนนี้ก็กลัวว่าจะไม่ได้งานแบบที่ตัวเองวาดฝัน
แต่อยู่ ๆ บางวันกลัวคนรักจะเบื่อหน่ายและเซ็งกับฉัน
บางเวลาก็กลัวว่าคนรอบข้างจะลืมว่าฉันมีตัวตน
คิดคิดไปก็เหนื่อยใจกับตัวเองเหลือเกิน
เมื่อไหร่ที่จะเลิกคิดเลิกกลัวอะไรไร้สาระสักที
…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………….
 
ความกลัวก็เหมือนกับปัญหา
ถ้าเราไม่กล้าเผชิญหน้า..กับปัญหา
และใช้สติปัญญาพิจารณาแก้ไข
ชีวิตของเราก็ต้องผจญความกลัวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………..
 
ครั้งต่อไป..ฉันว่าจะหันหน้าสู้กับความกลัว
เพราะตราบใดที่ฉันยังกลัวชีวิตฉันคงไม่มีความสุข
เพราะไม่มีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่า..
การชนะใจตัวเอง………เชื่อฉันเถอะ
.………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………..
 
 
 
 
 
Posted in ปรัชญาความคิด | Leave a comment

LovE LovE >> อะไรกันความร้ากก

 
ความรัก..ความรัก..ไม่รู้อะไรกันนักหนา..
บางคนก็เปลี่ยนแปลงตัวเอง..
บางคนก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเอง..
 
บางทีความรัก..อาจจะเปลี่ยนแปลงสายตา
ให้เรา..เห็นแก่ตัวน้อยลง..เห็นกับใครอีกคนมากขึ้น
แต่ไม่ต้องถึงขั้นมากมาย..จนทำลายความสัมพันธ์
ให้เปราะบางลง..วันละนิดหละหน่อย
 
ความรัก..ทำให้หัวใจเราพองโต..
เมื่อมีใครคนหนึ่ง..เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย
..เพราะแค่ได้คิดถึง..แค่วันละนิดหน่อย
..ก็สุขใจ..แม้ไม่ได้อยู่ใกล้กัน….
 
บางครา..กว่าจะรู้ตัวว่า..
..หัวใจเราตรงกับใครอีกคนหนึ่ง..
ก็อาจใช้เวลายาวนาน..จนเกือบสูญเสียคนคนนั้นไป
..และเมื่อได้รู้ว่าทั้งสองคนหัวใจตรงกัน..
..ก็ยังมีบททดสอบอีกมากมาย..
..ที่จะพิสูจน์ความรักของทั้งคู่
..ในโลกนี้..ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค
หากคนทั้งคู่..เข้าใจซึ่งกันและกัน
 
สำหรับฉันแล้ว…"ความรัก"
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าถึง
แค่คิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติก็พอ
เพราะคนเรามีโกรธ..มีโมโห..มีน้อยใจ
ปะปนกันไปมากน้อย..ตามความรู้สึกในขณะนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..แค่หัวใจของเราทั้งคู่
รู้ดีว่า..เรามีความห่วงใยให้กันและกันเสมอ
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน..ทุกเวลาทุกนาทีก็ตาม
แค่นี้ก็สุขใจแล้ว…..
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
Posted in Muu Kratik Diary | Leave a comment

..ความรักแท้..คือการไม่แพ้ใจตนเอง

 
หากถามคำถามคนทั้งโลกว่า…
..รู้ไหม..รักแท้…คืออะไร???
รู้ไหม..รักแท้..เริ่มต้นขึ้นที่ตรงไหน ??
รู้ไหม..รักแท้..จะจบลงตรงที่ใด??
รู้ไหม..เราจะไปหารักแท้ได้ที่ไหน??
 
เฮ้อ ปัญหาโลกแตกชัดชัด >O<?
ถ้า..รักแท้..ซื้อขายกันได้..
ก็คงไม่มีใคร..มองเห็นคุณค่า..
และความหมาย..ที่สำคัญ..อย่างแน่นอน
 
เธอจะเชื่อมั๊ย..ว่ารักแท้..
ไม่ใช่การทุ่มเทความรักให้ใครสักคน..
..แบบไม่ลืมหูลืมตา…
 
เธอจะเชื่อมั๊ย..ว่ารักแท้
ไม่ใช่การเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
เพียงเพราะว่าเรารักเขา
 
เธอจะเชื่อมั๊ย…ว่ารักแท้..
ไม่ใช่การยอมเป็นเพียงที่ 2..ที่ 3..ที่ 4..
..เพียงเพื่อได้อยู่กับเขา..ไปตลอดชีวิต
 
เธอจะเชื่อมั๊ย..ว่ารักแท้..
ไม่ใช่ความอิจฉา..ริษยา..ชิงชัง..เคียดแค้น
เมื่อคนที่เรารัก..รักคนอื่นที่ไม่ใช่เรา
 
เธอจะเชื่อมั๊ย..ว่ารักแท้..
ไม่ใช่การทะเลาะ..เบาะแว้ง..ระแวงในกันและกัน
เมื่อเห็นเขา..มีไมตรีจิตให้คนอื่น
 
อย่างนู้นก็ไม่ใช่..อย่านี้ก็ไม่ใช่
แล้วอะไร..คือ..ความรักที่แท้จริง
 
รักแท้..คือ…การยินดีที่เห็นคนที่เรารัก..
มีความสุข..มีรอยยิ้ม..ให้กับคนที่เขารัก
 
รักแท้..คือ..การให้กำลังใจ..ในยามเมื่อคนที่เรารักท้อแท้
ถึงแม้ว่า..เราจะไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลยก็ตาม
 
รักแท้..คือ..การที่เรามีความสุข..ถึงแม้ว่า
เขาจะไม่ตอบกลับ..ความรักที่เราให้เขาไปก็ตาม
 
รักแท้..คือ..กำลังใจ..คือการ..ให้อภัยซึ่งกันและกัน
พร้อมที่จะจับมือคนที่เขารัก..ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
 
รักแท้..คือ..การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน..โดยไม่นำความผิดพลาดในอดีต
..มาเป็นบรรทัดฐานของอนาคตในวันข้างหน้า..
 
รักแท้..คือ..การแบ่งปัน..ความรัก..ความอบอุ่น..
โดยไม่มีเงื่อนไขใดใด..แอบแฝงอยู่ในหัวใจ
 
คงจะทรมาณไม่น้อย..ที่เราจะต้องรักใครคนหนึ่ง
โดนปราศจากข้อแม้..ปราศจากความต้องการในหัวใจ
หากแต่..ว่า..ผู้มีรักแท้..คือ..ผู้ที่รู้จัก..รักให้เป็น
 
…แต่จะมีสักกี่คนหละ..ที่เข้าใจว่า…
…ความรัก..แท้จริงนั้น..
คือ..การเห็นคนที่เรารักมีความสุข
โดยที่หัวใจของเรา..ก็ต้องไม่เป็นทุกข์
หรือทนทรมาณจากความเจ็บปวด..
หากวันหนึ่ง…อาจเห็นเขาเลือกเดินจากไป
กับใครสักคน…....ที่ไม่ใช่เรา…
แต่ถ้าเขาเลือกเรา..ย่อมดีที่สุด..ใช่มั๊ย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
Posted in บทเรียนแห่งความรัก | Leave a comment

รักคำเดียวไม่พอ…

 

พรหมลิขิตอาจจะนำพาคนสองคน

ให้มาพบกัน..รู้จักกัน…และรักกันในที่สุด

หากแต่ว่า..พรหมลิขิต..เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

 

ส่วนจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งระฆังวิวาห์

หรือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บนั้น

คงจะขึ้นอยู่กับการถักทอสายใย

ที่ชื่อว่า..ความเข้าใจ..ให้กันและกัน..

 

 

 

บางครา..แค่ความผูกพันธ์…

แต่ขาดความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ก็ไม่อาจที่จะนำพาความรัก..

ไปถึงปลายทางสีรุ้งที่วาดฝันกันไว้

 
Posted in Muu Kratik Diary | Leave a comment

เพื่อน

เพื่อน

คุณเชื่อในพรหมลิขิตมั้ย ?
ถ้าไม่..  แล้วอะไรล่ะ
ที่ทำให้เรามาพบกับคนหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

ถ้าไม่  แล้วอะไรล่ะ
ที่ทำให้เราถูกชะตาจนเรียกคนๆนั้นว่าเพื่อน

……. เพื่อน………………….
คนๆนึงที่ครั้งนึงก็เป็นได้แค่ คนแปลกหน้าคนหนึ่ง
เวลา ผ่าน เวลา คนแปลกหน้าคนนั้นก็กลับกลาย
มาเป็นคนที่เรา ไว้ใจ  

……. เพื่อน …………………
คนที่พร้อมอยู่กับเราเสมอๆ ไม่ว่า สุข ทุกข์   เหงา เศร้า

……..
เพื่อน ……………………..
คนที่พร้อมแชร์ความรู้สึกต่างๆ โดยไม่เคยเอ่ยปากว่า
ถ้าทำอย่างนั้นแล้วฉันจะได้อะไร


….……
เพื่อน …………
คนที่ไม่เคยสนใจว่าเราจะหน้าตาดี มีสกุล
ร่ำรวย ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่


……..
เพื่อน…..
คนที่ไม่เคยเสแสร้ง แกล้งทำ

……
แต่…… เพื่อนตาย หายากเหลือเกิน


เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ ว่า คนๆนี้เป็น  เพื่อนตายของเราหรือไม่

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้
เป็นคนที่พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั๊ย

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า
คนๆนี้จริงใจกับเราแค่ไหน

ทั้งหมดนี้ เราใช้ ตา มองไม่เห็น
แต่ทั้งหมดนี้เราใช้ ใจ มองเห็นได้

เมื่อบทความ ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ คุณล่ะ ?
ใช้ตามองเพื่อน หรือ ใช้ใจมองเพื่อน

   เราบอกไม่ได้ว่าคนๆไหนดี ไม่ดี
จนกว่า…เราจะมีโอกาส รู้จักกับคนนั้น แล้วใช้ ใจ ของเราสัมผัส

การคบใครสักคน คบเพียงกายก็ไร้ประโยชน์
แต่การคบใครสักคน จำเป็นต้องคบกันด้วยใจ

วันนี้….. คุณ ใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ
อย่าบอกนะว่า  คุณก็เป็นคนที่คบเพื่อนแค่ตา……
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น
คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบคนหนึ่ง
….. สำหรับคนที่ได้รับเมล์ฉบับนี้
คุณ..โชคดีจัง ที่มีเพื่อนรักคุณ และ คบคุณด้วยใจ

อย่าลืม….. ส่งเมล์ฉบับนี้ ให้กับเพื่อนที่คุณ รักด้วยใจ
เพื่อบอกกับเค้าว่า
คุณดีใจที่มีเพื่อนอย่างเค้าเช่นกัน

รักเพื่อนเสมอ  
ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ที่ไหนมิตรภาพยังคงเดิม

Posted in ปรัชญาความคิด | Leave a comment

เมื่อฉันแก่ตัวลง (อ่านแล้วซึ้งมาก)

“เมื่อฉันแก่ตัวลง”

อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง

ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง… ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ

แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่… สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย…

แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม

“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม
ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย…”

“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง… ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”

“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”

แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป
มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้
ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ” แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที

ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง” ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที ….

เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม

ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ

ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง ให้ความรักและอดทนต่อฉัน

ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ

ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริง ไอ้หมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป
1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว

หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ “เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป

…………..

Posted in my blog | Leave a comment

เรื่องของ “เขา”

Posted in ปรัชญาความรัก | Leave a comment

นิทานความรัก

 
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเรื่องเล่าระหว่างสาวสวยและหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งรักกันอย่างดูดดื่ม…
ทั้งสองได้สาบานว่าแม้ความตายก็มิอาจจะพรากรักอันแสนจะมั่นคงนี้ลงได้
และในครั้งนั้นยังมีแม่มดตนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะแน่นอนเท่าความไม่แน่นอน
แม่มดไม่เชื่อว่าความรักของทั้งสองจะมั่นคงจึงคิดหาทางพิสูจน์ขึ้นมา นางกล่าวว่า
หากพวกเจ้ามั่นใจในรักของอีกฝ่าย ซึ่งยั่งยืนแม้ว่าความตายจะพราก
ดังนั้นข้าก็อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร…ข้าขอสาปให้นับแต่นี้เป็นต้นไป
ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกสักกี่ชาติ บุรุษนี้จะไม่มีทางจำเจ้าได้
เขาจะไม่สามารถจำได้ว่าเคยรักเจ้า และตรงกันข้ามกับเจ้า
เจ้าจะเป็นคนที่จำทุกอย่างได้ เพราะเจ้าจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป
ไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่มีวันตาย จะอยู่อย่างนี้นิรันดร์…เจ้าจะจำเวลาที่เคยรักเขา
เคยเป็นที่รักและต้องเฝ้ารอการกลับมาของเขาในชาติแล้วชาติเล่าตลอดกาล…

"วันใดก็ตามที่เจ้าทำให้เขารู้ตัวว่ารักเจ้าทำให้เขาจำเจ้าได้
วันนั้น…คือวันที่ความเป็นนิรันดร์ของเจ้าสิ้นสุดลง…เจ้าจะแก่และตายตามสภาพ
ของอายุขัยที่ควรเป็น…และคราวนี้ก็จะเป็นทีของเจ้าหนุ่มนั่นแทน…เขาจะต้องเป็นคนที่ค้นหาเจ้าบ้าง…"
หลังจากนั้นมาปีแล้วปีเล่าเวลาผ่านไปศตวรรษทบศตวรรษที่หญิงสาวเฝ้าตามหาชายหนุ่มคนรัก

และทุกครั้งที่เธอได้พบเขาในสภาพของใครคนหนึ่ง
ที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย…เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาจำเธอได้

แต่มันไม่เคยสำเร็จชาติแล้วชาติเล่า…หลังจากการเกิดและดับของเขาผ่านไปนับสิบครั้ง
เขาก็ยังไม่อาจระลึกได้ถึงความรักของเธอ…ความทุกข์ทรมานของหญิงสาว
ถูกเฝ้าดูอย่างเย้ยเยาะโดยนางแม่มดผู้รอคอยเวลาที่หญิงสาวจะยอมรับว่า…
รักแท้ที่แม้ความตายก็ไม่อาจพรากไม่มีจริง แล้วนางแม่มดก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า
ในช่วงหลังๆ มาหญิงสาวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ชายหนุ่มระลึกถึงตน
ไม่พยายามให้ชายหนุ่มรักตนแต่กลับทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้เขามีความสุข

และทำให้เขาเกิดรอยยิ้มแทน…แล้ววันหนึ่งนางแม่มดก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
จึงปรากฏตัวเพื่อเอ่ยถามกับตัวหญิงสาวเอง…

"…เจ้าได้ละทิ้งความพยายามของเจ้าเสียแล้วล่ะหรือ…ความพยายามที่จะพิสูจน์
ให้ข้าเห็นอำนาจและพลังของรักแท้ที่เหนือกว่าอำนาจใดๆ แม้กระทั่งคำสาปของข้า…"

"จริงๆ แล้ว ข้าก็มีเหตุผลของข้า"

หญิงสาวตอบนางแม่มดกลับไป

"…ข้าไม่ได้ละทิ้งความพยายาม…เพียงแต่…
ข้ากลัวว่าความพยายามของข้าจะสัมฤทธิ์ผล…แล้ว"
"แล้วเจ้าก็ต้องแก่และตาย"
นางแม่มดต่อให้ด้วยเสียงเย้ยหยัน

" ที่แท้เจ้าก็กลัวที่จะตาย เจ้ากลัวจะสูญเสียความเป็นอมตะของเจ้า…
เฮอะ นี่หรือรักแท้ของเจ้า"
หญิงสาวไม่ปฏิเสธ นางเผชิญหน้ากับนางแม่มดและรับคำกล่าวหานั้น

"อาจใช่…มันเป็นความจริงที่ข้ากลัวว่าหากข้าทำให้เขาจำข้าและรักข้าได้ข้าจะต้องตายจากเขาไป"
"และเจ้าก็ไม่เชื่อใจว่าเขาจะทำให้เจ้าจำได้เช่นนั้นหรือ?"

หญิงสาวจ้องหน้าแม่มดนิ่งอยู่ ก่อนตอบ

สิ่งที่ข้าเกรงไม่ใช่เรื่องนั้น…ท่านรู้อะไรไหม…
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ข้าเฝ้าเดินทางตามหาเขาเฝ้ารอคอยวันแล้ววันเล่า
รอวันที่เขาจะกลับมาหาข้าอีกครั้ง…ตลอดเวลาที่ข้าเฝ้ามองการเกิดและการตายของเขา
มันคือความทรมานอันยาวนานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด…
และสำหรับข้าความทุกข์อันแสนสาหัสคือ การได้เห็นความทรมานของผู้เป็นที่รัก
โดยที่เราไม่อาจเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือได้…
หลายครั้งที่ข้าอยากให้ตัวข้าเห็นแก่ตัวพอที่จะพยายามทำให้เขารักทำให้เขาระลึกถึงข้าได้อีกครั้ง
เพื่อที่ข้าจะได้เป็นอิสระต่อการพันธนาการนี้…แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมัน
ความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับเนื่องจากการรอคอยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ทำให้ข้าคิดได้

…ข้าไม่อาจให้เขาต้องแบกรับความรู้สึกทรมานเช่นที่ข้าได้รู้สึก…
ความรักของข้าอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะตัดสินใจพยายามให้เขาจำข้าได้ต่อไป
และจากนี้ต่อไป แม้ว่าข้าจะต้องรอคอยไปชั่วนิรันดร์ สิ่งเดียวที่ข้าจะทำคือ
ข้าจะทำให้เวลาของเขามีแต่ความสุขเท่าที่พลังของข้าจะทำได้
ข้าอาจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาก็จริง
แต่ข้าก็ยังอยากเห็นรอยยิ้มของเขา…ข้าอาจเป็นคนอ่อนแอในสายตาของท่านอย่างไรก็ตาม
นี่ก็คือความรักของข้า
คือสิ่งที่ข้าเป็น…แม้ชีวิตของข้าจะต้องเดียวดายตลอดกาลแต่ข้าก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า
คนที่ข้ารักจะไม่มีวันเดียวดายเช่นตัวข้า…เพราะเขาจะมีข้าข้างกายเขาชั่วนิรันดร์ "……………………

นิทานเรื่องนี้ไม่มีตอนจบเพราะอยากให้คนที่อ่านจินตนาการถึงตอนจบเอาเอง

ในชีวิตของเรามีหลายช่วงต่อหลายช่วงที่เราคิดว่าเรารักใครสักคนมากมายเหลือเกิน
และหลายต่อหลายครั้งที่ความรักของเราก็ต้องการความรักตอบกลับมา
หลายคนฟูมฟายกับโชคชะตาว่ารักที่ไม่ได้รักตอบคือการสูญเวลาเปล่า…

แต่มีหลายต่อหลายคน…ที่ดีใจกับโชคชะตาที่เกิดมาสักครั้ง
แต่ยังได้รักใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ…

ทุกอย่างในชีวิตมีทางเลือก…ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกทางไหน…หรือ
คุณจะเลือกหรือไม่?คุณจะเลือกทางไหน

…เปิดประตูรับความรักเข้ามาเพื่อเติมความอบอุ่นให้กับหัวใจแม้เพียงช่วงหนึ่งของชีวิต…
หรือจะมัวแต่ฟูมฟายโทษตัวเองกับความรักที่ให้ไปแต่ไม่ได้รักตอบ…??
…ทางเลือกเป็นของคุณ…

Posted in ปรัชญาความรัก | Leave a comment

เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

ใน ขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง…กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา ด้วยระยะทางไกลมากว่า 600 กิโลเมตร เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท

เรื่อง ที่ทางทีมงานจะขอนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เพื่อนสมาชิกเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์ดอทคอม ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ซึ่งเขาก็เล่าว่า … ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1 ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า

ผม : ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแดดแบบนี้เล่า

ตา : (ยิ้ม) จะไปอยุธยา

ผม : ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ

ตา : ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว

ผม : เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ

ตา : เขาจ้างวันละ 20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง

ผม : แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว

ตา : คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ

ผม : ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ

ตา : ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว

ผม : ลูกๆ ไม่มีเหรอตา

ตา : มีลูก 2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย

ผม : แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแถวบ้านทำล่ะ

ตา : ตาไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา

ผม : แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง

ตา : ตาเดินมาเรื่อยๆ

ผม : เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ

ตา : (ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว)

ผม : แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน

ตา : หลังสงกรานต์ 2 วัน (ยิ้ม)

ผม : แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา

ตา : อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา

ผม : แล้วตากินอะไรอยู่

ตา : เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ ไม่เอาตังค์ตาด้วย

ผม : (สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม

ตา : (ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า

ผม : แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา (เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา)

ตา : น้ำกินตาเอง

หลัง จากนั่งคุยกับตาแกไปเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ "รอยยิ้ม" ที่ เห็นฟัน 1 ซี่ ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้ พร้อมเงินอีก 190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น) ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา ในใจแกคงคิดว่าต่อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง …

…และ นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปาดกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมองย้อนมาดูตัวเอง ว่าวันนี้คุณ "พอเพียง" แค่ไหนกัน ? ทั้งนี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้ แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก

ที่มา :FW Mail

 
Posted in my blog | Leave a comment